รวมสายพันธุ์แมว น่ารักทุกตัว

อะบิซีเนียน (Abyssinian)


ต้นกำเนิด

แมวพันธุ์นี้ปัจจุบันยังไม่มีคนรู้แน่นอนหรอกว่ามันกำเนิดมาได้อย่างไรจากที่ไหน  แต่ตำนาน (4,000 กว่าปีมาแล้ว)   เค้ากล่าวเล่ากันว่าแมวพันธุ์นี้สืบสายพันธุ์มาจากแมวศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของชาวอียิปต์โบราณ 

ลักษณะประจำพันธุ์

เป็นแมวขนาดกลาง  เป็นแมวที่มีสีสันภายนอกสวยงาม  ขนสั้นแถมขนของมันในเส้นเดียวกันยังสลับถึง 2 สีเลยนะ ใบหูใหญ่แหลม  ลักษณะเด่นของมันคือสัดส่วนของร่างกายที่ได้รูปพอเหมาะ และท่าทางที่สง่างามของมันนั่นเองจนดูราวกับผู้มีอำนาจ

ลักษณะนิสัย

ความกระตือรือร้นและชอบมีปฏิสัมพันธ์เที่ยวเล่นกับแมวตัวอื่น ๆ นอกจากนั้นยังจัดเป็นแมวที่มีความซื่อสัตย์, รักเจ้าของ, เชื่อฟังคำพูดของเจ้าของ และมีความน่ารักน่าเอ็นดู แต่ภายในแฝงไว้ด้วยความนุ่มนวล มีความรักเจ้าของ ฉลาดปราดเปรียว และมีความขี้เล่นประสาแมว อะบิสซิเนียนจึงจัดเป็นสายพันธุ์แมวที่ได้รับความนิยมที่สุดในสายพันธุ์แมวขนสั้นของเอเมริกา

การดูแล  

แปรงขนให้ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ และตัดเล็บเท้าทุก ๆ 3-4 สัปดาห์ต่อครั้ง ตามปกติแมวอะบิสซิเนียนจะเป็นพันธุ์แมวที่ค่อนข้างจะแข็งแรง มีสุขภาพดี มีกิจกรรมทำตลอดเวลา และค่อนข้างจะมีอายุยืน บางตัวสามารถมีอายุอยู่ได้ถึง 20 ปี การที่มีลักษณะนิสัยชอบทำกิจกรรมตลอดเวลาและไม่ค่อยชอบอยู่นิ่ง จึงควรที่จะคอยดูแลหรือเอาใจใส่โดยให้เล่นหรือทำกิจกรรมอยู่ในเขตหรือขอบข่ายที่สามารถจะควบคุมได้ นอกจากนั้นต้องคอยหมั่นตรวจโปรแกรมการฉีดวัคซีนตามกำหนดต่อสัตวแพทย์ด้วย

อเมริกัน บ็อบเทล (American Bobtail)


ต้นกำเนิด


อเมริกัน บ็อบเทล มีมาเป็นเวลา 30 ปีแล้ว แต่เพิ่งจะมามีชื่อเสียงเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา มันเป็นหนึ่งในพันธุ์ที่เพิ่งจะได้รับการยอมรับจากสมาคม Cat Fanciers’ เมื่อเดือนกุมภาพันธุ์ ปี 2000 ว่าเป็นพันธุ์ที่รู้จักกันมานานแล้ว และมีสายพันธุ์อยู่ทั่วโลกซึ่งเป็นหนึ่งในพันธุ์ที่น่าภูมิใจของอเมริกา ลักษณะที่เหมือนแมวป่าบวกกับลักษณะนิสัยที่เชื่องที่น่าพอใจ สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้เพาะพันธุ์ที่ได้ทุ่มเทเวลา ความพยายามและกำลัง กายเพื่อที่จะให้ได้พันธุ์ที่น่าทึ่งนี้ พันธุ์อเมริกัน บ็อบเทล จึงสามารถอ้างสิทธิ์ได้อย่างภาคภูมิใจว่าเกิดในอเมริกา

ลักษณะประจำพันธุ์

มีขนาดตั้งแต่ขนาดกลางถึงใหญ่ สามารถสังเกตความเป็นนักกีฬาของมันได้จากลักษณะของกล้ามเนื้อและพละกำลัง ร่างกายมีความยาวปานกลางเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแข็งแรงและมีไหล่ยื่นออกมา หางสั้นและสามารถเห็นได้เหนือหลังเวลามันตกใจโดยจะไม่ยาวไปถึงหัวเข่า พันธุ์นี้มีหัวที่แข็งแรง กว้างปานกลางเป็นรูปลิ่มโดยมีคิ้วที่เด่นเฉพาะตัวอยู่เหนือดวงตาโตคล้ายรูปอัลมอนด์ การแสดงออกทางสีหน้าท่าทางเป็นสิ่งที่แสดงถึงความฉลาดและความตื่นตัว โดยปกติตัวเมียจะมีสัดส่วนทีเล็กกว่าตัวผู้ ชนิดและลักษณะท่าทางจะมีความสำคัญมากกว่าขนาดตัว

           อเมริกัน บ็อบเทลล์ มีลักษณะภายนอกคล้ายคลึงกับสัตว์ป่าแต่มีอุปนิสัยใจคอและลักษณะนิสัยที่แตกต่างออกไป

            หัว : กว้างเป็นรูปลิ่มโดยไม่มีส่วนแบนหรือส่วนที่เป็นโดม ได้สัดส่วนกับลำตัว ส่วนของปากและจมูกยื่นออกมาอย่างพอเหมาะ โหนกแก้มเห็นได้ชัด มีหนวดวางอยู่บนแก้มที่อูม ส่วนโค้งระหว่างจมูกกับคิ้วบางและมีความยาวระหว่างคิ้วกับหูพอเหมาะ คิ้วสามารถเห็นได้ชัดบริเวณหน้าผากเป็นแนวเหนือตา ขอบของคิ้วจะอูมขึ้นรอบตา จมูกกว้าง ผิวหนังรอบจมูกจะใหญ่ คางแข็งแรงและกว้างได้แนวกับจมูกความกว้างของหัวและเหนียงที่คอจะเห็นได้ใจ ตัวผู้ที่โตเต็มที่แล้ว

           หู : มีขนาดปานกลาง ฐานกว้างมีขอบรอบๆหูบางอยู่ด้านบนสุดและด้านข้างสุดของหัว ขอบของหูยิ่งสูงยิ่งดี มีรอยสีเป็นรูปนิ้วอยู่ด้านหลังของหูหรือมีลายหรือลักษณะคล้ายแมวป่าเป็น ลักษณะที่ดี

           ตา : ตามีขนาดใหญ่ รูปร่างคล้ายเม็ดอัลมอนด์ วางตัวอยู่ลึก มุมด้านนอกบางขึ้นไปถึงหู ตาสองข้างห่างจากกันพอเหมาะ คิ้วที่อยู่เหนือตาแสดงให้เห็นถึงความเป็นนักล่าโดยธรรมชาติ

           รูปร่าง : ค่อนข้างยาว และแข็งแรงเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า อกเต็มและกว้าง สะโพกบางใหญ่มีแผ่นไหล่ยื่นออกมาจากลำตัว สะโพกแข็งแรงและเกือบกว้างเท่าอก สีข้างหนา มีกล้ามเนื้อ มีลักษณะแบบนักกีฬา มีการเจริญเติบโตเต็มที่ช้า

           ขาและเท้า : ได้ขนาดกับร่างกาย มีความยาวพอเหมาะและมีกระดูกที่แข็งแรง อุ้งเท้าใหญ่และกลม มีปอยขนยาวที่นิ้วเท้า ขาหน้ามี 5นิ้ว ขาหลังมี 4นิ้ว

           คอ : มีความยาวปานกลางแต่อาจจะสั้นขึ้นกับลักษณะของกล้ามเนื้อ

           หาง : หางสั้น อาจตรง,เป็นส่วนโค้งเล็กน้อยหรือบิดงอเล็กน้อยหรือมีรอยขรุขระไปตามความยาว ของหาง หางอยู่ในแนวเดียวกับสะโพก มีฐานกว้าง แข็งแรงและทนต่อสัมผัส ไม่แข็งแต่ต้องยืดหยุ่นและไม่บิดจนไปทำลายธรรมชาติการเคลื่อนไหวของหาง หางที่ตรงจะได้รับการยอมรับกว่าหางที่งอ หางที่ตรงควรจะมีส่วนท้ายที่อูม

           ความยาวของหาง : จะต้องยาวพอที่จะเห็นได้ชัดเหนือส่วนหลังเวลาแมวตกใจ แต่จะต้องไม่เลยไปถึงหัวเข่า

           ขนสั้น :

           ความยาว : ปานกลาง หนาพอสมควร
           ความหยาบ : ไม่พันกัน ยืดหยุ่นได้ดี ตรงปลายจะบาง
           ความหนา : มีขน 2 ชั้น ส่วนบนหนานุ่ม, ส่วนล่างอ่อนนุ่ม
           ความหลากหลาย : ขนสามารถสังเกตความแตกต่างได้ตามฤดู ขนอาจจะนุ่มขึ้น ความหยาบ ละเอียดหรือสีจางลง ตีนขนอาจจะมีสีเทามีลาย

           ขนยาว :

           ความยาว : ยาวปานกลาง หยาบเล็กน้อย ขนจะยาวเรียวบางลงบริเวณรอบคอสัตว์,สะดือและหาง
           ขนรอบคอ : บางนุ่ม
           ความหยาบ : ไม่พันกัน ยืดหยุ่น
           ความหนา : ขน 2 ชั้น ตีนขนไม่หนามาก

           ความหลากหลาย : ขนสามารถเปลี่ยนไปได้ตามฤดูกาล อาจนุ่มขึ้น,หยาบละเอียด,สีจางลง ตีน ขนอาจมีสีเทา มีลาย

           พัฒนาการ : มีการพัฒนาร่างกายให้โตเต็มวัยช้า โดยร่างกายของแมวพันธุ์นี้จะค่อยๆเติบโตจนเต็มที่ตอนอายุได้ 3 ปี

           ข้อบกพร่อง : หาง ที่ยาวเกินไปหรือสั้นเกินไปมีผลต่อการทรงตัวและลักษณะภายนอกของแมว หางที่บิดงอหรือขมวดเป็นปม หางที่แข็งไม่ยืดหยุ่นหรือวางตัวอยู่ต่ำ หางตรงแต่ส่วนท้ายไม่อูม ตากลม คางอ่อนส่วนปากและจมูกยื่นออกมาน้อยเกินไป

           ลักษณะที่ไม่ได้คุณภาพ : หางไม่ได้ขนาด ตาผิดรูป กระดูกเปราะ มีจำนวนนิ้วเท้าไม่ถูกต้อง

           สีและรูปแบบ : ทุกสีและทุกรูปแบบยอมรับได้ ไม่ค่อยยอมรับลักษณะที่มีลาย ลักษณะที่คล้ายแมวป่าเป็นที่ต้องการ

           สีตา : ทุกสีที่เป็นไปได้แต่ต้องไม่มีลักษณะที่แปลก ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างตากับสีขน

ลักษณะนิสัย        

อเมริกัน บ็อบเทล เป็นแมวที่ใจดี น่ารัก และฉลาดอย่างมาก มันมีลักษณะนิสัยคล้ายสุนัข และรักเจ้าของมาก อเมริกัน บ็อบเทล สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาวะที่ยุ่งเหยิงหรือเงียบได้ ยีนของแมวพันธุ์นี้เป็นยีนเด่น ซึ่งจะต้องมีหางสั้นตามธรรมชาติเพื่อที่จะได้มีลูกแมวที่หางสั้นต่อไป ความยาวโดยเฉลี่ยของหางคือ1-4 นิ้ว อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงค่าเฉลี่ย โดยความเป็นจริงแล้วอาจจะสั้นหรือยาวกว่านี้ก็ได้

           นอกจากนี้ อเมริกัน บ็อบเทล จะผูกพันกับครอบครัว มันเข้าได้ดีกับสุนัขและสัตว์แปลกหน้าไม่ว่าจะมี4ขา หรือ 2 ขา คนขับรถบรรทุกมักจะให้มันนั่งไปเป็นเพื่อนเพราะมันจะเป็นเพื่อนร่วมทางที่ดี ถ้าฝึกตั้งแต่เด็ก ๆ นักบำบัดทางจิตวิทยายังใช้มันในโปรแกรมการรักษาด้วย เพราะมันมีพฤติกรรมที่ดี ทั้งยังอ่อนโยนต่อผู้คนที่อยู่ในความทุกข์หรือเศร้าโศกเสียใจ นอกจากนี้มันเป็นเพื่อนเล่นที่ดีของเด็ก ๆ อเมริกัน บ็อบเทล มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อคนทุกวัยและเหมาะที่จะเลี้ยงไว้ในครอบครัวเพื่อความเพลิดเพลิน

           อย่างไรก็ตาม แมวพันธุ์ อเมริกัน บ็อบเทล ชอบเล่นเกมส์ เช่น ให้วิ่งไปคาบ, เล่นซ่อนหา ซึ่ง อเมริกัน บ็อบเทล เล่นได้เป็นชั่วโมง ๆ มันจะเรียกร้องให้เราเล่นเกมส์กับมันและจะไม่หยุดจนกว่าเราจะเล่นด้วย โดยพื้นฐานแล้ว อเมริกัน บ็อบเทล จะเป็นแมวเงียบ ๆ แต่มันจะตื่นเต้นและส่งเสียงต่าง ๆ เวลาดีใจ เราสามารถล่ามโซ่ อเมริกัน บ็อบเทล ได้ง่ายและมันชอบที่จะออกไปเดินเล่น แมวพันธุ์นี้ชอบวัตถุที่ขึ้นเงา เป็นประกายเพราะฉะนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเก็บกล่องเครื่องเพชรให้ดี ๆ
          
อเมริกันขนสั้น (American Shorthair)


ต้นกำเนิด

เป็นแมวที่ถูกนำมาจากยุโรปไปสู่แผ่นดินอเมริกาเหนือ เมื่อตอนมีการโยกย้ายถิ่นของคนยุโรปไปแสวงหาถิ่นที่อยู่ใหม่ แมวถูกนำลงเรือไปเพราะต้องการใช้ประโยชน์จากมันในการล่าหนูมิให้ทำลายข้าวของ เจ้าแมวที่นำไปด้วยนั้นมีหลายๆตัว และได้ผสมพันธุ์กันจนได้ลูกที่มีลักษณะเฉพาะออกมาให้เห็นอย่างปัจจุบัน 

ลักษณะประจำพันธุ์


เป็นแมวที่มีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ โครงสร้างลำตัวใหญ่โต มีกล้ามเนื้อแข็งแรงเห็นชัดเจน อกใหญ่ ขาใหญ่ ยาวขนาดปานกลาง ใบหูขนาดกลางและขอบเป็นทรงกลมมน หัวรูปไข่แต่มีคางที่ค่อนข้างใหญ่ชัดเจน ดวงตาแมวพันธุ์นี้กลมโต ขอบตาด้านนอกด้านบนจะโค้งลงมา สีของตาเป็นสีเขียว  มีลักษณะสีขนและรูปร่างมากกว่า 80 แบบ มีตั้งแต่ สีน้ำตาล striking tabby ไปจนถึง แมวสีขาวตาสีฟ้าสดใส หรือ shaded silvers สี smoke และสี camero รวมทั้งสี calico van และสีอื่นในระหว่างนี้ แต่สีที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือสี silver tabby โดยจะมีลายสีดำเข้ม พลาดอยู่บนพื้นสีเงิน (ลายเสือ)

ลักษณะนิสัย

เป็นแมวที่ช่างสงสัย ชอบเล่นไปเรื่อยๆ มีเสน่ห์ ฝึกง่าย อเมริกัน ช๊อตแฮร์เป็นที่รักใคร่และเป็นมิตรกับเจ้าของมาก นิสัยของมันยังปรับเปลี่ยนให้เข้ากับเจ้าของที่เลี้ยงดูได้  แม้เจ้าพันธุ์อเมริกัน ช็อตแฮร์จะไม่ต้องการเอาใจใส่มากมายแต่มันก็ชอบให้คุณเล่นด้วยนะคะ เพราะมันเป็นแมวที่รักความสนุกสนานกับการเป็นผู้ล่าบางครั้งมันก็ชอบการเล่นไล่จับสัตว์ของมันไปเรื่อย เป็นแมวที่ฉลาดและเต็มใจที่จะฝึก


การดูแล

เป็นแมวที่มีสุขภาพดี แต่สายพันธุ์นี้มักจะมีปัญหาโรคหัวใจเพราะฉะนั้นควรเลือกสายพันธุ์ที่ไม่เกิดโรคนี้นะคะเพราะโรคนี้เป็นโรคทางพันธุกรรม  ถ้าคุณเกิดไปได้เจ้าพันธุ์นี้ที่เป็นโรคหัวใจ  ลูก ๆ ของมันต่อไปก็จะเป็นโรคหัวใจเช่นกันค่ะ  การดูแลพื้นฐานก็คือแปรงขนให้มัน ตัดเล็บ และทำความสะอาดใบหูของมันเพื่อให้มันมีสุขภาพดี

อเมริกันขนสั้น (American Wire Hair)



ต้นกำเนิด

มีต้นกำเนิดมาจากแมวพันธุ์อเมริกันขนสั้น เกิดจากการผสมพันธุ์แล้วให้ลูกแมวที่มีลักษณะแปลกประหลาด คือ จากที่ขนสั้นแน่นเรียบกลับไปได้ลูกแมวที่มีขนหนาแน่นแต่ขนม้วนชี้เป็นลูกคลื่น ว่ากันว่าแมวพันธุ์นี้กำเนิดในเขตชานเมืองนิวยอร์ค ราวปี 1966 นี่เองครับ 


ลักษณะประจำพันธุ์

สี : มีสีคล้ายกับแมวพันธุ์อเมริกันขนสั้นมากลายมากสีถึง 34 เฉดลาย 
รูปร่างและขนาด : เป็นแมวขนาดกลางถึงใหญ่ มีกล้ามเนื้อชัดเจน แข็งแรง หัวโตรูปไข่แต่มีคางที่เป็นเหลี่ยมเห็นคางชัดเจน หูขนาดกลางกลมมนที่ขอบ ตาโตกลมขอบตาบนด้านนอกใหญ่หนาโค้งลงที่หัวตา สีตาเป็นสีเหลืองทอง ขายาวปานกลางแข็งแรงเท้ากลมใหญ่


ลักษณะนิสัย

ใจดี ขี้เล่นทั้งวัน ฉลาดและสอนง่าย




เบงกอล (Bengal)



ต้นกำเนิด


           การกำเนิดขึ้นของแมวเบงกอล เริ่มโดย คุณ Jean Mills หญิงชาวมลรัฐแอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่หลงใหลในลวดลายของแมวป่า เธอใช้เวลาถึง 20 ปี (เริ่มมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 หรือ พ.ศ. 2523) ในการพัฒนาให้มีจุด (Spotted ที่ใหญ่และแมวตัวผู้ไม่เป็นหมัน (แมวตัวผู้จะเป็นหมันใน F1 and F2) จนสามารถสร้างจุดให้ใหญ่และมีสีที่ตัดกันในจุดมากขึ้นด้วย และเธอตั้งชื่อสายพันธุ์นี้ว่า เบงกอล ตามชื่อวิทยาศาสตร์ของแมวป่าที่เรียกกันว่า Felis bengalensis นั่นเอง

ลักษณะประจำพันธุ์


           แมวเบงกอล (Bengal) เป็นแมวที่ผสมข้ามสายพันธุ์ ระหว่างแมวดาว (Asian Leopard Cat) กับแมวบ้าน (Domestic Shorthair) ในที่นี้คือ Egyptian Mau คือ พันธุ์แมวอียิปต์โบราณ และมีโครงสร้างเป็นหลายจุด มีลักษณะที่เหมือนแมวป่า (wild cat) ซึ่งเป็นการผสมข้ามสายพันธุ์ของแมวดาวกับ E.Mau and Ocicat
           แมวเบงกอล เป็นแมวขนาดปานกลางถึงค่อนข้างใหญ่ หัวมีความยาวมากกว่ากว้าง เพราะถูกผสมโดยควบคุมลักษณะให้มีรูปร่างคล้ายแมวป่า เพรียว ยาว เห็นมัดกล้ามเนื้อแบบนักล่าชัดเจน โดยจะมีความสูงส่วนสะโพกสูงกว่าความสูงของช่วงไหล่ หางส่วนมากจะมีปลายชี้ลง ใบหูกลม สั้น ตารูปไข่ (oval) ช่วงโคนหนวดเด่น ช่วงปากและรอบจมูกกลมกว่าแมวบ้าน จุดที่เด่นที่สุดของแมวเบงกอล ได้แก่ ลายและสีขนที่อาจเป็นจุดแบบแมวป่าหรือลายหินอ่อน

ควรเลือกซื้อแมวเบงกอลที่มีโครงสร้างใหญ่ ลำตัวยาว มีลวดลายบนตัวที่เด่นชัดขนาดเท่าหัวแม่มือ จุดด้านข้างลำตัวมีขนาดใหญ่และเรียงตัวอย่างไม่เป็นระเบียบในแนวนอน แมวเบงกอลบางตัวจะมีลวดลายโรเซ็ทที่เป็นจุดขนาดใหญ่ที่มีสีอ่อนกว่าตรงกลาง จุดคล้าย ๆ กับลายของเสือจากัวร์ ซึ่งเป็นที่ต้องการมากกว่าแมวที่มีจุดสีเดียวตามปกติ

           ลายทางที่หน้าผากควรมีสีเข้มลากยาวในแนวนอนจากหางตาไปถึงใบหู และควรมีเส้นสีเข้มเป็นสร้อยคอยาวรอบ ๆ คอเฉียบคม ขนเงานุ่ม ใบหน้าของลูกแมวนั้นต้องมีลักษณะที่แสดงถึงความเป็นแมวป่า มีขอบตาดำสนิท เส้นที่ใบหน้าเข้ม ริมฝีปากใหญ่เต็ม มีหางที่หนา มีจุดที่ขาหรือเป็นวงที่ไม่เต็มวงรอบ ๆ ขา มีสีอ่อนบริเวณรอบปาก คอ และขาด้านใน ดวงตานั้นสามารถจะเป็นสีเขียว สีทอง หรือสีเหลือง

ลักษณะนิสัย


           ที่สำคัญนิสัยของเจ้าแมวเบงกอลก็ไม่ได้ดุดันอย่างที่กำลังคิดกันด้วยนะ แถมยังเชื่องแสนเชื่อง เป็นมิตร ชอบอยู่กับคน น่ารัก และคล่องแคล่วปราดเปรียว มีนิสัยชอบวิ่งไล่สิ่งของ หรือวัตถุ ชอบปีนป่าย ชอบไล่จับหนู หากไม่มีอะไรให้เล่นก็จะเล่นด้วยตัวเอง มีเสียงร้องที่ฟังแล้วเหมือนแมวป่าค่อนข้างมาก ส่วนสัญชาตญาณความเป็นสัตว์ป่าที่คงหลงเหลือให้เห็นอยู่ กลับกลายเป็นลักษณะเด่นของแมวเบงกอล นั่นคือ ความมั่นใจในตนเอง ความกล้าหาญ ไม่ขลาดกลัว และความเฉลียวฉลาดในการเอาตัวรอด และที่แตกต่างจากแมวเกือบทุกชนิดอย่างมาก คือ แมวเบงกอลมีนิสัยชอบเล่นน้ำอย่างมาก !?

การดูแล


           ปัจจุบันแมวเบงกอลเริ่มเป็นที่รู้จักในไทยมากขึ้น แต่อาจยังไม่แพร่หลายเหมือนแมวชนิดอื่น ๆ เนื่องจากยังมีราคาค่อนข้างสูง ซึ่งแมวเบงกอล ราคาอยู่ที่ประมาณ 17,000-170,000 บาท ดังนั้นเมื่อตัดสินใจซื้อมาแล้ว ควรใส่ใจดูแลอย่างดี ซึ่งวิธีการเลี้ยงก็ใกล้เคียงกับแมวทั่ว ๆ ไป เพราะถือเป็นแมวบ้านเช่นเดียวกับแมวสายพันธุ์อื่น

           แต่ถ้าหากอยากให้แมวสวย สุขภาพดี และมีขนที่สวยงาม การเลือกอาหารที่ดีให้กับแมวนั้นจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ อาหารสำเร็จรูปที่ดีจะช่วยให้คุณมั่นใจว่าขนและสุขภาพของแมวนั้นจะสวยที่สุด ส่วนเรื่องของการตัดเล็บ อาบน้ำ แปรงขน เช็ดหู และทำความสะอาดส่วนต่าง ๆ นั้น จะเหมือนกับแมวทั่ว ๆ ไป

           เรื่องอาหาร แมวเบงกอลอาจจะต้องการเนื้อสัตว์ในปริมาณที่มากกว่าแมวทั่วไปเล็กน้อย โดยผู้เลี้ยงอาจจะให้เนื้อวัวสดวันละครั้งเพิ่มเติมจากอาหารที่กินอยู่เป็นประจำ ซึ่งจะไม่ทำให้ท้องเสียหรือเสียสุขภาพ เนื้อสดที่ให้ควรระมัดระวังความสะอาดด้วยการแช่แข็งเอาไว้เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อราและแบคทีเรีย และควรเก็บเนื้อที่เหลือทิ้งทันที อย่างไรก็ตาม ห้ามให้เนื้อไก่หรือเนื้อหมูสดเด็ดขาด





บาลนิส (Balinese)



ต้นกำเนิด

ถิ่นกำเนิดอยู่ในอเมริกาเหนือ เป็นแมวขนยาว ลูกนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มสีบริเวณ ศีรษะมีแผ่นรอยแต้มของสีเล็กๆเกิดขึ้น(ขนจะหดสั้น) มีสีทึบ เป็นแมวที่มีความเชื่อมั่น มี ไหวพริบฉลาดสูง บริเวณศีรษะ ลำตัว ช่วงขาและหางเป็นลักษณะของแมวไทย 

ลักษณะประจำพันธุ์

สี : ขนสีขาวนวล

รูปร่างและขนาด : เป็นแมวขนยาว มีสีทึบ หูตั้ง ลูกในตากลมรี ศีรษะมีแผ่นรอยแต้มของสีเล็กๆ นัยน์ตาเป็นสีน้ำเงิน


บอมเบย์ (Bombay)


ต้นกำเนิด

เกิดจากนำแมวพม่าสีน้ำตาลเข้มผสมพันธุ์กับแมวอเมริกันขนสั้นสีดำ ผลก็คือ ได้ลูกแมวสีดำขลับ


ลักษณะประจำพันธุ์

สี : ดำขลับ 
รูปร่างและขนาด : เป็นแมวขนาดกลางมีกล้ามเนื้อชัดเจน หัวโตหน้าผากกลมกว้าง หูกลมและเอียงไปทางข้างหน้า มีจมูกสั้นสีดำคางเห็นชัดเจน ตากลมโตสีตาเป็นสีทอง ขายาวปานกลางเท้าเล็กรูปไข่ 

ลักษณะนิสัย


อ่อนโยนไม่ก้าวร้าวสามารถปรับตัวเข้ากับแมวตัวอื่นๆได้ดีและชอบอยู่กับมนุษย์ไม่ปลีกตัวไปไกล



เบอร์มิส (Burmese)



ต้นกำเนิด

เกิดจากนักผสมพันธุ์สัตว์ที่ชื่อ ดร.โจเซฟ ทอมสัน เขาได้ผสมพันธุ์แมวพม่าตัวเมียกับแมวไทยพันธุ์วิเชียรมาศตัวผู้ และได้ลูกออกมาเป็นหลายๆเฉดสี หนึ่งในนั้นคือ ลูกแมวสีน้ำตาลดำและมันได้ถูกนำมาคัดเป็นต้นกำเนิดลูกแมวพม่าตัวต่อๆมา

ลักษณะประจำพันธุ์

สี : น้ำตาลแดงเป็นสีดั้งเดิม ปัจจุบันมีคนผสมพันธุ์ออกมาเป็น 8 เฉดสี
รูปร่างและขนาด : เป็นแมวขนาดกลาง รูปร่างแข็งแรงลำตัวสั้น มีหางยาวปานกลาง หัวเป็นรูปลิ่ม มีกระดูกแก้มสูง จมูกสั้นมีดั่งจมูกชัดเจน ตาด้านบนจะโค้งน้อยกว่าด้านล่าง สีตาเป็นสีเหลืองทอง ใบหูขนาดกลางปลายกลม ขายาวและเรียวเท้าเล็กรูปไข่

ลักษณะนิสัย

ถ้าเทียบกับแมวไทยแล้วแมวพม่าจะไม่ค่อยหนีเที่ยวซุกซนเท่าแมวไทยเรา มันออกจะชอบอยู่กับบ้านและนอนสบายๆมากกว่า

ชาร์ทริอัซ (Chartreux)


ต้นกำเนิด

แมวพันธุ์นี้เป็นแมวที่ถือว่ามีสายพันธุ์เก่าแก่อีกพันธุ์หนึ่ง มีต้นกำเนิดในศตวรรษที่ 17 โดยนักบวชชาวฝรั่งเศสได้นำแมวพันธุ์นี้มาจากการเดินเรือท่องเที่ยวแถบแหลมกู๊ดโฮป ในทวีปแอฟาริกา และเป็นผู้นำแมวสายพันธุ์นี้กลับมายังฝรั่งเศสด้วย

ลักษณะประจำพันธุ์

สี : น้ำเงินเทา
รูปร่างและขนาด : เป็นแมวขนาดใหญ่ มีรูปร่างป้อมๆ อกใหญ่มีพละกำลังของขามาก ตัวผู้บางตัวมีน้ำหนักถึง 14 ปอนด์เลยทีเดียว หัวจะกว้าง แก้มใหญ่ ใบหูตั้งขอบกลม จมูกสั้น ตามีลักษณะกลมโต สีตาเป็นสีเหลืองอำพัน

ลักษณะนิสัย

เป็นแมวที่ใจดีชอบเด็กๆอารมณ์เสียยาก สอนง่าย และไม่ดุร้ายเลย

คัลเลอร์พ๊อยท์ (Colorpoint)


ต้นกำเนิด

แมวพันธุ์นี้ถูกพัฒนามาจากสายพันธุ์ในอังกฤษประมาณปี 1947 โดยเริ่มจากนำแมวไทยพันธุ์วิเชียรมาศผสมกับพันธุ์อังกฤษสีน้ำตาลแดง ซึ่งให้ลูกออกมาเป็นสีแดงอย่างเดียว และนำลูกแมวกลับไปผสมพันธุ์กับแมววิเชียรมาศอีกทีคราวนี้ให้ลูกแมวเป็นลายตามปลายเท้า ใบหู ใบหน้า และนำแมวชุดนี้ไปผสมพันธุ์กันออกมาจะได้แมวที่มีลายที่หัว ใบหู ใบหน้า ขาทั้ง 4 ข้าง เป็นสีต่างๆต่างจากแมววิเชียรมาศจึงถือว่าเป็นแมวสายพันธุ์ใหม่

ลักษณะประจำพันธุ์

สี : มีสีพื้นบนลำตัวเป็นสีอ่อนจะมีสีเข้มในส่วนใบหู ใบหน้า ขาทั้ง 4 ข้าง หางคล้ายกับความเข้มสีของแมววิเชียรมาศ สีที่นิยมอยู่ คือ สีช็อกโกแล็ค สีน้ำเงิน สีม่วงอ่อน
รูปร่างและขนาด : มีลักษณะคล้ายกับแมวไทยเรา คือ ลำตัวเพรียวไม่อ้วน ขายาวบาง หัวเป็นรูปลิ่ม ตาขนาดกลางรูปอัลมอนด์สีตาเป็นสีน้ำเงิน จมูกค่อนข้างยาว ใบหูตั้งชี้มีขนาดใหญ่ เท้าเล็กรูปไข่

ลักษณะนิสัย

กล้าหาญชาญชัยไม่หวาดกลัวอะไรง่ายๆ ค่อนข้างจะเรียกร้องส่งเสียงหาเจ้าของ รู้มาก คล้ายกับนิสัยแมวไทยเรา

Egyptian mau (อียิปต์ เตียน โม)


ต้นกำเนิด

เป็นแมวที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ประวัติของมันไม่แน่ชัดว่ามีความเป็นมาอย่างไร เชื่อว่าเป็นแมวที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ ประเทศอียิป เพราะคำว่า โม (Mau) คือภาษาอียิปต์โบราณที่หมายถึงแมวนั่นเอง มีบันทึกว่าในปี ค.ศ. 1950

แมวพันธุ์นี้ได้ถูกนำเข้าจากกรุง Cairo ประเทศอียิปต์ มาที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี โดยได้มีหลักฐานว่า เจ้าหญิงรัสเซียได้เลี้ยงแมว Egyptian Mau สีเงินเพศเมียและได้ผสมพันธุ์กับแมวของทูต จนให้กำเนิดลูกแมวมา 3 ตัว จนได้นำลูกแมวทั้ง 3 นี้ไปอเมริกาครั้งแรกในปี ค.ศ. 1956 และได้รับการผสมและปรับปรุงสายพันธุ์ใหม่จากนักผสมพันธุ์ชาวอเมริกา จนกระทั่งเป็นที่นิยม จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1980 ได้มีการนำเข้าแมวพันธุ์นี้มาจากอินเดียและอียิปต์อีกด้วย โดยลักษณะโดดเด่นก็คือ ลายจุดบนตัวนั่นเอง มีสีอยู่ 3 สี คือ สีน้ำตาลแดง เงิน และสีควันบุหรี่

ลักษณะประจำพันธุ์

เป็นแมวขนสั้นแท๊บบี้(ลายเสือ)แบบมีจุด ลำตัวค่อนข้างใหญ่ ใบหน้ามีความยาวปานกลาง ใบหูหใญ่กว้าง ดวงตาสีเขียว หรือสีเหลืองอำพัน ขาค่อนข้างยาว และขาหลังยาวกว่าขาหน้าล็กน้อย มีลายจุดขนาดเท่าๆกันกระจายอยู่ทั่วทั้งลำตัว โดยที่ขา และหาง จะมีลายขีดๆเป็นเส้น บริเวณหน้าผากมีลายเหมือนอักษรตัว "M"

แมวพันธุ์นี้มีเชื้อสายจากแมวอียิปต์เพราะคำว่า มัว (Mau) คือภาษาอียิปต์โบราณที่หมายถึงแมวนั่นเอง แมวพันธุ์นี้ถูกนำไปอเมริกาครั้งแรกในปี 1953 สัญลักษณ์ที่ทำให้จดจำได้แม่นยำก็คือ ลายจุดบนตัวนั่นเอง

สี : มีอยู่ 2หรือ3 สี คือ สีน้ำตาลแดงและสีควันบุหรี่

รูปร่างและขนาด : เป็นแมวขนาดกลาง หัวกลมคางแหลม จมูกสั้น ใบหูใหญ่ชี้ขึ้น ตาเป็นรูปอัลมอนด์สีตาเป็นสีเขียวอ่อน ลำตัวแข็งแรงมีกล้ามเนื้อชัดเจน ขายาวปานกลางเท้าเล็กรูปไข่

ลักษณะนิสัย

เป็นแมวเอนกประสงค์ เป็นเพื่อนเด็กได้ แต่จะมีบางอารมณ์ที่ตื่นเต้น มันมักจะไม่ยอมใครนอกจากเจ้าของเท่านั้น

เอกซ์โซติก ขนสั้น (Exotic Shorthairs)


ต้นกำเนิด

เกิดจากการผสมของแมวพันธุ์ Persians และ  American Shorthairs


ลักษณะประจำพันธุ์

เป็นแมวที่มึขนสั้นและนุ่มมว๊าก หัวกลม กะโหลกกว้าง มีรูปหน้ากลมแบน จมูกสั้น ดวงตาใหญ่เป็นพิเศษ  หูเล็ก และรูปร่างอ้วน มีลักษณะส่วนใหญ่คล้ายกับแมวพันธุ์เปอร์เซีย เพียงขนของ แมวพันธุ์ Exotic Shorthair จะสั้นกว่าเหมือนจุดเด่นของพันธุ์ American Shorthairs เท่านั้นเอง ส่วนเรื่องสีนั้นแมวพันธุ์ Exotic Shorthair จะมีเฉดสีขาว, น้ำตาล, ส้ม เป็นส่วนใหญ่


ลักษณะนิสัย

เป็นแมวที่ซื่อสัตย์ต่อเจ้าของ ไม่ขี้หงุดหงิด มีความอดทน บางทีคุณแทบไม่ได้ยินเสียงร้องของแมวพันธุ์นี้ เพราะมันค่อนข้างจะสงบ เงียบ และถ้าหากมันต้องการความสนใจ มันก็จะแค่นั่งอยู่หน้าคุณ หรือกระโดดมานั่งบนตัก ไม่งั้นก็เอาจมูกชื้น ๆ ของมันมาแตะที่หน้าคุณ


การดูแล

ด้วยความที่เจ้า Exotic Shorthair นั้นมีขนที่สั้นจึงทำให้การดูแลทำความสะอาดได้ง่าย  แต่ด้วยหน้าที่แบนทำให้เกิดคราบสกปรกที่เกิดจากน้ำตาบนใบหน้าได้ง่าย แมว Exotic Shorthair ยังเป็นโรคไซนัสได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้น ประมาณ 40-50% ของแมวพันธ์นี้มีโอกาสเกิดโรคไต และไม่มีทางรักษา เพราะฉะนั้นผู้เลี้ยงต้องมั่นดูแลและมักพาไปพบสัตวแพทย์เป็นประจำ

หิมาลายัน (Himalayan Persian cat)


ต้นกำเนิด

ถิ่นกำเนิดจากสหรัฐอเมริกา สายพันธุ์ เกิดจากการผสมระหว่างแมวเปอร์เซียกับแมวไทยพันธุ์วิเชียรมาศทำให้เกิดลักษณะเด่นของแมวเปอร์เซียและวิเชียรมาศผสมกันได้ลูกแมวสายพันธุ์ใหม่ขึ้น บางครั้งจึงอาจเรียกแมวพันธุ์หิมาลายันนี้ว่า Colour point persian (อย่างเช่นถ้าจุดแต้มมันเป็นสีน้ำเงินก็จะเรียกว่า Blue point Himalayan)

ลักษณะประจำพันธุ์

เป็นแมวขนาดเล็ก ขาค่อนข้างเล็ก หูสั้น จมูกสั้น แก้มนูนเต็มพอกับสายพันธุ์ต้นกำเนิดของมัน  มีขนยาวบริเวณรอบเอวมีขนอ่อนนุ่ม รอบๆคอและแก้มมีขนครุยห้อย บริเวณหาง ขนขึ้นหนาทึบ ที่หูจะมีขนยาวเป็นกระจุกย้อยลงมาเหมือนกับพันธุ์เปอร์เซีย  แต่มีแต้มแบบแมววิเชียรมาศ (9 จุด ได้แก่ ครอบหน้า 1, หู 2, ขาทั้ง4, หาง 1 และอวัยวะเพศ 1  จึงทำให้แมวพันธุ์นี้มีลักษณะที่โดดเด่นออกไป  แถมมันยังมีตาสีฟ้าสดใสเหมือนแมววิเชียรมาศ

ลักษณะนิสัย

ชอบซุกซน รักสนุกสนาน ขี้เล่น  มันชอบที่จะมาอยู่คลุกคลีกับคุณและชอบทำตามกิจกรรมที่คุณกระทำอยู่ด้วย  สมกับเป็นแมวที่รักเจ้าของจริง ๆ ชอบที่จะให้แปรงขน ทำความสะอาด

การดูแล

แมวพันธุ์นี้มีขนยาวเหมือนกับเจ้าเปอร์เซียนั้นการดูแลเหมือนกัน

Japanese bobtail

ต้นกำเนิด

ถิ่นกำเนิด แมวเจแปนนิส บ๊อบเทล เป็นแมวรักษาการของไฮโซญี่ปุ่นมาหลายศตวรรษ โดยในปี ค.ศ.1602  มีคำสั่งจากทางการให้ผู้ครอบครองนำแมวของตัวเองไปปล่อยในพื้นที่ชนบทเพื่อทำสงครามการปราบหนู ซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของอุตสาหกรรมใหม่ที่กำลังรุ่งเรืองและทำรายได้เข้าประเทศอย่างมหาศาล ทำให้แมวเจแปนนิส บ๊อบเทล กลายเป็นส่วนหนึ่งของตำนาน  และประวัติศาสตร์ รวมทั้งศิลปะของญี่ปุ่น โดยสื่อความหมายถึงการนำความโชคดีมีชัยมาให้

          ต่อมาราวปี ค.ศ.1968 นักเพาะพันธุ์แมวชาวอเมริกันได้นำ แมวเจแปนนิส บ๊อบเทล จากญี่ปุ่นเข้ามาเผยแพร่ในสหรัฐอเมริกาครั้งแรก และหลังจากนั้นสิบปีก็ได้รับการประกาศเป็นพันธุ์มาตรฐานและเป็นที่นิยมอย่างมาก

ลักษณะประจำพันธุ์

          ลักษณะทั่วไปของ แมวเจแปนนิส บ๊อบเทล เป็นแมวขนาดกลาง มีมัดกล้ามเนื้อให้เห็น ขายาวเรียว มักพบว่าขาหลังยาวกว่าขาหน้า รูปร่างเรียว หัวเป็นรูปสามเหลี่ยม กระดูกแก้มเป็นสันนูน  จมูกยาว  ตารูปไข่  ตาสีเหลือง  ไม่ค่อยพบตาสีฟ้า โครงกระดูกของรูปร่างใหญ่ ใบหูใหญ่ หางกุด (แต่ไม่สุด) มีขนหนาขึ้นปกคลุมสวยงามดูเหมือนหางของกระต่าย ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม ทั้งนี้ ขนบริเวณหางจะหนาและยาวกว่าที่ลำตัว มีหลายสี แต่สีขนที่ฮิตที่สุด คือ สามสี (ภาษาญี่ปุ่น เรียกว่า มิเกะ)

ลักษณะนิสัย

แมวแจแปนนิส บ็อบเทล หรือ แมวหางกุดญี่ปุ่น (Japanese bobtail) เป็นแมวประจำชาติญี่ปุ่นที่น่ารัก แพร่หลายมาร่วมร้อยปีแล้ว และยังถือเป็นสัตว์นำโชคอีกด้วย นิสัยของแมว แมวแจแปนนิส บ็อบเทล เป็นมิตรกับคน ฉลาด และมีเสน่ห์ ดูจะเป็นแมวที่ร่าเริง และมีความสุขที่สุดพันธุ์หนึ่ง แมวเจแปนนิส บ๊อบเทล จึงเป็นแมวที่สุดแสนวิเศษสำหรับเด็ก ๆ ทั้งยังชอบเล่น ชอบคาบของไว้ในปากเดินไปมา และชอบตะกุยน้ำเล่น เสียงร้องสดใสนุ่มนวล

       

ไลคอย แคท (Lykio Cats)


ต้นกำเนิด

           ไลคอย แคท แมวสายพันธุ์ใหม่ที่มีหน้าตาเหมือนมนุษย์หมาป่า นักวิทยาศาสตร์เผยโฉม ไลคอย แคท แมวสายพันธุ์ใหม่หน้าตาเหมือนมนุษย์หมาป่า มีขนน้อย
          เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2557 เว็บไซต์ geekosystem.com รายงานว่า จอห์นนีและบริทนีย์ กอบเบิล สามีภรรยานักพันธุศาสตร์ชาวอเมริกัน สามารถผสมพันธุ์แมวสายพันธุ์ใหม่ที่เรียกว่า "ไลคอย แคท (Lykio Cats)" ซึ่งเป็นแมวที่มีลักษณะคล้ายหมาป่าได้เป็นผลสำเร็จ
          รายงานระบุว่า พวกเขาได้นำแมวสฟิงซ์ และแมวบ้านขนสั้นสีดำ มาผสมพันธุ์กันจนได้แมวพันธุ์ใหม่ที่ชื่อว่า ไลคอย แคท ซึ่งมีลักษณะเหมือนมนุษย์หมาป่า คือไม่มีขนบริเวณตา ปาก จมูก หู และขนบริเวณลำตัวก็ไม่ขึ้นดกหนาเหมือนแมวบ้านทั่วไป นอกจากนี้ยังมีลักษณะขนน้อยเหมือนเป็นขี้เรื้อนอีกด้วย
          อย่างไรก็ตาม แมวไลคอยได้รับการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอแล้วว่าไม่มีความผิดปกติใด ๆ และไม่ใช่แมวสฟิงซ์อีกสายพันธุ์หนึ่งอย่างแน่นอน

เมนคูน (Maine Coon)


ต้นกำเนิด

เป็นแมวที่เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ตามธรรมชาติระหว่างแมวบ้านกับแมวป่าอเมริกัน
ลิงซ์ (American Lynz) คำว่า Maine ของเจ้าตัวโตนั้นมาจากแหล่งกำเนิดที่อยู่ในรัฐ Maine ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนคำว่า Coon นั้น ได้มาจากคำกล่าวของคนพื้นบ้านในสมัยก่อนที่เล่าว่าบรรพบุรุษแมวบ้านของเจ้า เหมียวแอบไปกิ๊กกับตัวแรคคูน จนออกลูกออกหลานมามีหางเป็นพวงสวยงามเหมือนแรคคูนเช่นนี้

ลักษณะประจำพันธุ์

     ลักษณะเด่นที่เห็นได้ชัดที่สุดของเจ้า Maine Coon ก็คือรูปร่างใหญ่สมส่วน รู้สึกได้ถึงความแข็งแรงและสง่างาม ซึ่งหากเจ้าเหมียวโตเต็มที่แล้วจะมีน้ำหนักมากกว่า 12 กิโลกรัม ส่วนความยาวจากหัวจรดหางจะวัดได้มากกว่า 1 เมตร กล่าวได้ว่าขนาดพอๆกับสุนัขเลยทีเดียว เจ้า Maine Coon จึงจัดเป็นแมวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาแมวสายพันธุ์ทั้งหลาย และผลจากการพัฒนาสายพันธุ์ตามธรรมชาติ ทำให้พวกเค้ามีความแข็งแรง สามารถทนต่อสภาพอากาศที่แปรปรวนของท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี หัวมีขนาดใหญ่สมส่วน โหนกแก้มสูง รูปหน้ายาวปานกลาง ดูเป็นทรงเหลี่ยม หู ใบหูตั้งชี้เรียวแหลม มีขนที่ปลายหูเหมือนแมวป่า ตา ดวงตากลมโต สีเขียว ทอง ทองแดง พบตาสีฟ้าบ้างในเหมียวที่มีขนสีขาว ขน เป็นแมวประเภทขนกึ่งยาว (Semi Long Hair) มีขนปกคลุมหนาแต่ไม่พันกันยุ่ง ขนส่วนหัว คอ และไหล่จะไม่ยาวมาก จะไล่ความยาวจากส่วนหลัง ส่วนท้องไปจนถึงสีข้างและหาง ตัวผู้จะมีขนคอที่หนากว่าตัวเมีย ขา มีขาที่แข็งแรง ความยาวได้สัดส่วนกับลำตัว อุ้งเท้าใหญ่ เท้าหน้าจะมีข้างละ 5 นิ้ว ส่วนเท้าหลังมีข้างละ 4 นิ้ว

ลักษณะนิสัย

Maine Coon เป็นแมวที่ไม่ค่อยมีปากเสียงมากนัก คุณสามารถหาเห็บ หมัด เช็ดหู สางขน โดยที่เหมียวไม่ปริปากบ่นรำคาญสักแอะ แถมยังชอบอีกด้วย

การดูแล

     การให้อาหารตามปกติอาจยังไม่พอ ควรให้อาหารเสริมแก่เจ้าตัวโตด้วยเนื้อสัตว์โปรตีนสูงไขมันต่ำ เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อเจ้าเหมียวให้ล่ำบึ้ก
     แมวกึ่งขนยาวแบบ Maine Coon จะไม่มีปัญหาขนพันกันยุ่งแบบแมวขนยาวอย่างเปอร์เซีย การดูแลจึงทำได้ง่ายขึ้น

แมงซ์ (Manx cat)


ต้นกำเนิด

มีถิ่นกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ สายพันธุ์ เป็นแมวที่เกิดจากการกลายพันธุ์  โดยตอนแรกนั้นมันเป็นแมวสายพันธุ์แมวบ้านนี่แหละค่ะที่เกิดบนเกาะอังกฤษ  แล้วกลายพันธุ์จนทำให้หางมันหดสั้นลงเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นแมวสายพันธุ์แมงซ์ขึ้น

ลักษณะประจำพันธุ์

ลักษณะเป็นแมวขนาดกลาง ลักษณะเด่นของแมวพันธุ์นี้คือมีขาหลังที่ยาวกว่าขาหน้า  หัวกลม และหางสั้นมากจนถึงบางตัวดูเหมือนไม่มีหาง  ดูไปดูมาแมวพันธุ์นี้มีลักษณะคล้ายกระต่ายเลย มีทั้งพันธุ์ขนสั้นและขนยาว

ลักษณะนิสัย

อุปนิสัยเป็นแมวที่ชอบเข้าสังคมและอยู่กับผู้คนได้ดี  แต่มันจะขี้อายกับคนแปลกหน้า  สายพันธุ์นี้เป็นแมวที่ฉลาดมากระดับ 5 ดาวและขี้เล่นคล้ายนิสัยของสุนัข  เป็นแมวที่สามารถเรียนรู้คำสั่งได้ดีกว่าแมวหลายสายพันธุ์เป็นอย่างมากด้วย

มันช์กิ้น แคท (Munchkin cat)


ต้นกำเนิด

แมวขาสั้น มีชื่อเรียกว่า มันช์กิ้น แคท (Munchkin cat) เป็น แมวขาสั้น ที่เกิดจากการเพาะพันธุ์ให้เกิดความผิดปกติทาง DNA หรือที่เรียกว่า การกลายพันธุ์ นั่นเอง ซึ่งหากดูเพียงผิวเผิน มันช์คิน แคท ก็ไม่ต่างจากแมวทั่ว ๆ ไป เพียงแต่เป็น แมวขาสั้น ผิดปกติ กล่าวคือ ขาจะมีความยาวแค่เพียงประมาณครึ่งหนึ่งของแมวทั่วไป

     มันช์กิ้น แคท ถือเป็นแมวสายพันธุ์ใหม่ที่ถือกำเนิดได้ไม่นานมากนัก ถูกพบและเริ่มเป็นที่รู้จักครั้งแรกในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ประเทศเยอรมัน เดิมทีแมวชนิดนี้ถูกเรียกว่า แมวจิงโจ้ (Kangaroo Cat) ต่อมาเมื่อประมาณปี 1980 นักผสมพันธุ์แมวในอเมริกา ได้ตั้งชื่อให้มันใหม่ว่า มันช์กิ้น โดยตั้งตามชื่อของคนแคระในเรื่อง The Wizard of Oz
 
     แต่ไป ๆ มา ๆ เจ้าเหมียวขาสั้นพันธุ์นี้กลับกลายเป็นที่นิยมของชาวญี่ปุ่นที่เลี้ยงกันมากมาย หรืออาจเป็นเพราะลักษณะของมันที่ขาสั้น ทำให้ดูน่ารักคิคุอาโนเนะ จนบางคนเชื่อว่า เจ้าเหมียวพันธุ์มันช์กิ้นนี้เป็นเหมียวมาจากญี่ปุ่นด้วยซ้ำ แถมยังมีทั้งแบบขนปุกปุย น่ารัก หรือขนสั้นก็เลี้ยงง่ายไปอีกแบบ นอกจากนี้ เจ้าเหมียวขาสั้นนี้ยังเป็นแมวฉลาด ใจดี และรักสนุกเเหมือนลูกแมวอยู่ตลอดเวลา เรียกได้ว่า ขาสั้นไม่ใช่ปัญหาเลยล่ะ จนทำให้คนจำนวนไม่น้อยหลงรักแมวมันช์กิ้นอย่างถอนตัวไม่ขึ้นเลยล่ะ โดยเฉพาะที่ญี่ปุ่นจะมีคาเฟ่แมว ซึ่งก็จะมีเจ้าเหมียวพันธุ์นี้เยอะแยะเลย แต่สำหรับบ้านเรานั้น ยังไม่ค่อยมีใครนำเข้ามาซักเท่าไร แต่ก็มีบ้างเป็นจำนวนน้อย ราคาลูกแมวพันธุ์มันช์กิ้นจะอยู่ที่ประมาณ 30,000 - 35,000 บาท

     ทั้งนี้ แมวมันช์กิ้น ได้รับการยอมรับเป็นแมวพันธุ์แท้ โดยสมาคม TICA (The International Cat Association) แต่ยังไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนกับ  CFA (Cat Fancier's Association) เนื่องจากทางสมาคมฯ ถือว่า แมวขาสั้น หรือ แมวมันช์กิ้น มีความผิดปกติหรือพิการอย่างหนึ่ง แม้ว่า แมวมันช์กิ้น จะไม่มีอาการเจ็บป่วยหรือเกิดปัญหาสุขภาพในเรื่องข้อกระดูกอย่างสุนัขที่ถูกเพาะมาให้ขาสั้นอย่าง ดัชชุน ก็ตาม แต่ก็ยังเข้าข่ายเป็นโรคทางพันธุกรรมอย่างหนึ่งที่มีชื่อว่า achondroplasia ทำให้สมาคมแมวหลาย ๆ สมาคม ปฏิเสธการขึ้นทะเบียน แมวขาสั้น เพื่อไม่ให้โรคทางพันธุกรรมนี้แพร่หลาย เพราะเชื่อว่าความผิดปกติดังกล่าวจะทำให้แมวเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ได้

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการรายงานผลอย่างชัดเจนในเรื่องของปัญหาสุขภาพของ แมวขาสั้น แต่ในบรรดาคนรักและเลี้ยง แมวขาสั้น ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า แมวมันช์กิ้น เป็นแมวสุขภาพดี และไม่ได้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมากไปกว่าแมวทั่วไป อีกทั้ง แมวขาสั้น ยังเป็นแมวฉลาด ใจดี และรักสนุกเเหมือนลูกแมวอยู่ตลอดเวลา เรียกได้ว่าขาสั้น ๆ ไม่ได้เป็นอุปสรรคในกระโดดเล่นของแมวพันธุ์นี้เลย

ลักษณะประจำพันธุ์

     สำหรับลักษณะทั่วไปของ แมวมันช์กิ้น จัดเป็นแมวขนาดกลางถึงขนาดเล็ก มีทั้งพันธุ์ที่เป็นขนสั้น และขนยาว ลำตัวค่อนข้างกลม แต่ไม่เท่า แมวเปอร์เซีย หัวเป็นรูปสามเหลี่ยม ใบหูขนาดกลาง ดวงตาโตคล้าย ๆ ลูกวอลล์นัท มีทุกสี ทุกลาย และที่เด่นที่สุดคือเป็น แมวขาสั้น ซึ่งแม้จะดูน่ารักพิลึก ๆ แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยหลงรักแมวมันช์กิ้นอย่างถอนตัวไม่ขึ้นเลยล่ะ

แมวพัลลัส (Pallas's cat)


ต้นกำเนิด

พัลลัสเป็นแมวป่าขนาดเล็ก ที่ค้นพบโดย ปีเตอร์ ไซมอน พัลลัส นักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมัน ในค.ศ. 1776 ถือเป็นชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Otocolobus มีลักษณะคล้ายกับกับแมวบ้าน ลำตัวมีความสูง 46 - 65 เซนติเมตร หางยาว 21 - 31 เซนติเมตร มีน้ำหนักประมาณ 2.5 - 4.5 กิโลกรัม (5.5 - 9.9 ปอนด์) มีขนหนาแน่นทำให้มีขนาดใหญ่ ขนมีสีเหลืองสลับกับแถบแนวตั้งสีดำ

     แมวพัลลัส (Pallas) หรือ มานูล (Manul) เป็นแมวป่าขนาดเล็กที่ถูกตั้งชื่อตาม ปีเตอร์ ไซมอน พัลลัส นักธรรมชาตินิยมชาวเยอรมัน ผู้ที่ค้นพบแมวชนิดนี้เป็นคนแรกบริเวณแถบชายฝั่งทะเลแคสเปี้ยนในช่วงศตวรรษที่ 18
 
      โดย แมวพัลลัส จะสามารถค้นพบได้ในประเทศอิหร่าน ผ่านไปทางเอเชียใต้ และส่วนหนึ่งของทางทิศตะวันตกของประเทศจีน ซึ่งกระจายตัวอยู่ทั่วไปตามทะเลทรายหินกับที่ราบสูงบนภูเขาที่มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลกว่า 4,500 เมตร โดยอาศัยถ้ำ โพรง และรอยแตกของหินเพื่อนอนหลับในตอนกลางวัน และเริ่มออกหากินในช่วงกลางคืน ส่วนเหยื่อของแมวพัลลัสมักจะเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก เช่น หนู หรือกระต่าย รวมไปถึงนก และแมลง
     ทั้งนี้ พัลลัสก็จัดเป็นแมวที่มีขนหนานุ่มที่สุดในแมวด้วยกัน Thickest Fur of Wild Cats
ลักษณะของแมวพัลลัส

ลักษณะประจำพันธุ์

     แมวพัลลัสเป็นแมวป่ามีลักษณะภายนอกใกล้เคียงกับแมวบ้าน นั่นก็คือ มีขนาดลำตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 50-62 เซนติเมตร ความยาวของหางประมาณ 20-30 เซนติเมตร และน้ำหนักตัว 4-5 กิโลกรัม หัวกลม หน้าแบน ตัวเตี้ยล่ำ ขาสั้น ทำให้มีนักวิทยาศาสตร์ส่วนหนึ่งเชื่อว่า แมวเปอร์เชีย สืบเชื้อสายมาจากแมวชนิดนี้
     แต่ลำตัวของแมวพัลลัสถูกปกคลุมด้วยขนสีเหลืองสลับเทา พร้อมกับมีแถบขนสีดำแทรกเป็นระยะในแนวตั้ง แถมยังเป็นขนยาวหนานุ่ม ก็เลยทำให้แมวพัลลัสดูตัวใหญ่กว่าแมวทั่วไป นอกจากนี้ยังเป็นแมวที่มีใบหูกว้าง ตำแหน่งหูต่ำกว่าแมวสายพันธุ์อื่นเล็กน้อย แถมยังมีแถบขนสีดำบนแก้มทั้ง 2 ข้าง และมีแถบขนสีดำเป็นวงที่หางประมาณ 4 วงด้วย

ลักษณะนิสัย

     เนื่องจากแมวพัลลัสเป็นสัตว์ที่ออกหากินในตอนกลางคืนและมีนิสัยรักสันโดษ แถมยังอาศัยอยู่ตามถ้ำต่าง ๆ ในที่สูง ก็เลยทำให้หาตัวได้ยาก ยกเว้นในช่วงฤดูผสมพันธุ์ นอกจากนี้ยังเป็นแมวที่มีขนทั้งยาวและหนาก็เลยทำให้แมวพัลลัสสามารถปรับตัวเข้ากับอากาศหนาวได้ดี แม้ในบริเวณนั้นจะมีอุณหภูมิต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียสก็ตาม แต่ถึงแม้ว่าแมวพัลลัสจะมีร่างกายที่เป็นอุปสรรคกับการเคลื่อนไหว มันก็ยังเป็นนักล่าตัวฉกาจ เพราะมีสีขนที่เอื้อประโยชน์กับการล่าเหยื่อได้ดีนั่นเอง

การขยายพันธุ์

     ส่วนช่วงอายุของแมวพัลลัสเฉลี่ยอยู่ที่ 12 ปี โดยตัวเมียสามารถให้กำเนิดลูกแมวได้ครั้ง 6-8 ตัว ใช้เวลาในการตั้งท้องประมาณ 66-75 วัน และให้กำเนิดในช่วงปลายเดือนเมษายน-พฤษภาคม
     แต่เนื่องจากมีการล่าแมวพัลลัสเพื่อนำขนไปใช้ประโยชน์ในทางการค้า บวกกับแหล่งอาหารที่มีจำนวนน้อยลง แถมยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ อีกมากมาย จึงทำให้ประชากรชองแมวพัลลัสลดลงตามไปด้วย ดังนั้นในปี ค.ศ. 2002 สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ ก็เลยจัดให้แมวพัลลัสเป็นสัตว์ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ไปแล้ว

ในค.ศ. 2002 สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ ได้จัดให้แมวพัลลัสเป็นชนิดที่เกือบอยู่ในข่ายเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ เพราะการกระจายพันธุ์ในวงกว้าง แต่กระจายพันธุ์ในทุ่งหญ้า, ทุ่งหญ้าสเตปป์และที่ราบมอนตาเน ของเอเชียกลาง เป็นชนิดที่ได้รับผลกระทบจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย เพราะเหยื่อน้อยลงและการล่าสัตว์


แมวเปอร์เซีย (Persian Cats)


ต้นกำเนิด

แมวเปอร์เซีย มีถิ่นกำเนิดอยู่แถบเปอร์เซีย หรือประเทศตุรกี และอิหร่านในปัจจุบัน โดยในปี ค.ศ. 1684 ได้มีการบันทึกลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับที่มาของ แมวเปอร์เซีย หรือแมวเปอร์เซียน (Persian Cats) ว่า พ่อค้าทะเลทราย (หรือที่เรียกว่ากองคาราวาน) ทางแถบๆ ตะวันตกของตุรกีและอิหร่าน มักบรรทุกสินค้ามากมาย อาทิเครื่องเทศ อัญมณี และสินค้ามีค่าอื่น ๆ ซึ่งบางครั้งก็มีแมวขนยาวติดมาด้วย แมวขนยาวนั้นถูกซื้อโดยกะลาสีและได้นำแมวติดไปกับเรือสินค้าเดินทางเข้าทวีปยุโรป ซึ่งหลายปีต่อมาแมวพันธุ์นั้นถูกรู้จักในชื่อ เตอร์กิส แองโกร่า (Turkish Angora)

           ต่อมาในปลายศตวรรษที่ 19 ชาวอังกฤษเริ่มผสมพันธุ์แมวเตอร์กิส แองโกร่า กับแมวสายพันธุ์อื่น และพัฒนาจนได้แมวที่มีขนหนาและยาวกว่าเดิม กระทั่งในที่สุดแมวพันธุ์นี้ก็ได้รับการยอมรับและจดทะเบียนขึ้นที่ประเทศอังกฤษในชื่อว่า Longhair ซึ่งชื่อของมันก็ถูกตั้งขึ้นตามประเทศต้นกำเนิดนั่นเอง

           นอกจากประเทศอังกฤษแล้ว แมวเปอร์เซียยังถูกนำไปเลี้ยงในประเทศต่างๆ ทั้งยุโรปและอเมริกามานานหลายร้อยปี ซึ่งอเมริกาจะเรียกแมวพันธุ์นี้ว่า Persian

ลักษณะประจำพันธุ์


แมวเปอร์เซีย เป็นแมวที่มีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีกระดูกที่ใหญ่และแข็งแรง หัวและหน้ากลม หน้าผากโหนก แก้มเต็ม ดวงตากลมโต และอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกัน มีจมูกที่หัก กล่าวคือ สังเกตได้ชัดเจนเมื่อมองจากด้านข้างจะเห็นจุดหักระหว่างจมูกกับหน้าผากชัดเจน เมื่อมองจากด้านหน้าจะเห็นเป็นขีดอยู่ระหว่างดวงตา

           สำหรับแมวเปอร์เซียที่มีลักษณะตรงตามมาตรฐานสายพันธุ์ ควรจะมีจมูกอยู่ในระดับเดียวกับตา โครงสร้างลำตัวสั้น ขาสั้นเตี้ย หูเล็กมีปลายหูที่กลมมน และอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกัน หางสั้นและตรง ไม่มีรอยหัก ขนยาวฟู มีท่วงท่าการเดินดูสง่างาม ทั้งนี้ แมวเปอร์เซียในสมัยแรก ๆ มีรูปร่างหน้าตาที่ต่างจากแมวเปอร์เซียในปัจจุบันมากทีเดียว ปัจจุบันมันถูกพัฒนาให้มีรูปร่างที่สั้นขึ้น ขนยาวขึ้น ถูกเปลี่ยนแปลงโครงร่างให้ใหญ่และกลม จมูกสั้นและหักมากขึ้น

           อย่างไรก็ตาม แมวเปอร์เซียถูกแบ่งออกเป็น 7 ชนิด โดยแบ่งตามสี และลักษณะเป็นหลัก ดังนี้

            1.Solid colour  ขนจะเป็นสีเดียวตลอดตัว ไม่ควรมีสีอื่นแซมเลย สีจะต้องเสมอกันตลอด เช่น white ขนสีขาวบริสุทธิ์, blue ขนสีเทาเข้ม, black สีขนดำสนิท, red ขนสีแดงเข้มและสดใส, cream ขนสีครีมเข้ม, chocolate ขนสีน้ำตาลช็อกโกแลต, lilac ขนสีลาเวนเดอร์

            2.Sliver&Golden ตาจะเป็นสีเขียวหรือสีเขียวอมน้ำเงินเท่านั้น

            3.Shade&Smoke จะมีสีขน 3 แบบ คือแบบ Shell จะมีสีที่ปลายขนเพียงเล็กน้อย แบบ Shade จะมีส่วนที่เป็นสีมากกว่า และแบบ Smoke จะมีสีมากกว่าแบบ Shade

            4.Tabby จะมีลวดลายที่เป็นที่ยอมรับอยู่ 2 แบบ คือ Classic และ Mackerel

            5.Parti-colour จะเกิดขึ้นเฉพาะเพศเมียเท่านั้น อันสืบเนื่องมาจากการสืบทอดทางโครโมโซม

            6.Calico & Bi-Color สีทั่วไปตาจะเป็นสีทองแดง ถ้าเป็นตาสองสีตาข้างหนึ่งจะเป็นสีฟ้า อีกข้างเป็นสีทองแดง ความเข้มของสีตาทั้งสองข้างเท่า ๆ กัน

            7.Himalayan เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างแมวไทยวิเชียรมาสกับแมวเปอร์เซีย จะมีลักษณะแต้มสีตำแหน่งเดียวกับแมววิเชียรมาส คือหูทั้งสองข้าง ที่หน้าครอบเหมือนหน้ากาก ขาทั้งสี่ ตาสีฟ้าสดใส

การดูแล


ในเรื่องของอาหารการกินนั้น ควรเลือกอาหารที่ช่วยให้ทางเดินอาหารของแมวไม่อุดตัน เนื่องจากแมวเปอร์เซียจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเลียทำความสะอาดขน อันเป็นสาเหตุในการกินหรือกลืนเส้นขนเข้าไปเป็นจำนวนมาก หากเส้นขนจะไปรวมตัวกันในช่องท้องจะทำให้แมวเปอร์เซียสำรอกหรือเกิดปัญหาของระบบย่อยอาหารได้

โรคที่พบบ่อยใน แมวเปอร์เซีย นั้นส่วนใหญ่จะเป็นโรคที่เกิดขึ้นและถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น โรคหายใจขัด หอบ หรือ ท่อน้ำตาอุดตัน เป็นต้น นอกจากนี้ แมวเปอร์เซียที่มีสีขาวรวมถึงแมวเปอร์เซียที่มีตาสีฟ้าหรือตาข้างละสีมักมีความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด คือ หูหนวก อีกด้วย

           อย่างไรก็ตาม โรคท่อน้ำตาอุดตัน และปัญหาคราบน้ำตา เป็นปัญหาที่พบบ่อยและถูกถามถึงมากที่สุด อาการที่พบ คือ มีน้ำตา ไหลในตาข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้าง ไม่มีอาการหรี่ตา น้ำตาที่ไหลออกมาเป็นน้ำตาใสๆ ร่วมกับมีคราบติดบริเวณร่องจมูก ซึ่งโรคนี้เป็นโรคทางพันธุกรรม เกิดจากการสะสมของแบคทีเรียในท่อน้ำตา เนื่องจากท่อน้ำตาและโพรงจมูกของแมวเปอร์เซียคดไปคดมา

           เมื่อเจ้าเหมียวของคุณประสบปัญหานี้เข้า การแก้ปัญหาเบื้องต้น ผู้เลี้ยงอาจใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเคอยเช็ดคราบน้ำตาเป็นประจำ เพราะหากปล่อยไว้จนแห้ง อาจเช็ดไม่ออก หมดสวยหมดหล่อไม่รู้ด้วยนะคะ

           แต่ถ้าหากมีคราบน้ำตามเยอะและข้นกว่าปกติ อาจต้องใช้ยาป้ายตาร่วมกับการเช็ดคราบน้ำตา หรืออาจพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อล้างท่อน้ำตา และทำการรักษาต่อไป


แร็กดอลล์ (Ragdoll)


ต้นกำเนิด

มีถิ่นกำเนิด จากประเทศอเมริกา (America)

ลักษณะประจำพันธุ์

เป็นแมวที่มีโครงร่างขนาดใหญ่ ร่างกายแข็งแรง มีตาสีฟ้าสวยงาม มองแล้วเคลิ้มเชียว ขนจะหนาแน่นเป็นปุยมากในบริเวณเอว ที่หางมีขนยาวชัน  ถ้าสังเกตุที่บริเวณอุ้งเท้าไปจนถึงช่วงขาของมันจะเป็นสีขาวจนดูเหมือนกับสวมถุงเท้าตลอดเวลา

ลักษณะนิสัย 

แมว Ragdoll แมว Ragdoll เป็นแมวที่มีนิสัยขี้อ้อนและติดคนมาก มันมักจะมาต้อนรับคุณถึงที่หน้าประตูบ้านเมื่อคุณกลับมาถึง และติดตามคุณไปทุกแห่ง แมว Ragdoll เป็นแมวเรียบร้อย สุภาพ จงรักภักดี และชอบความเงียบมาก มันสามารถนอนร่วมกับคนได้ อีกทั้ง แมว Ragdoll  เป็นแมวที่เข้ากับเด็ก ๆ ได้ดีและยังเข้ากับสัตว์อื่น เช่น สุนัขได้ดีอีกด้วย
     จุดเด่นอีกเรื่องของ แมว Rag doll เนื่องจากมันเป็นแมวที่มีเสียงร้องนุ่มนวลและเบามาก และแมว Ragdoll ยังมีนิสัยประหลาดคือ เมื่อเวลาที่คนอุ้ม มันจะทิ้งตัวโตงเตงราวกับตุ๊กตาเศษผ้าราวกับไม่มีชีวิต ดูคล้ายอาการเมายา

รัสเซียนบลู (Russian blue)


ต้นกำเนิด

  แมวรัสเซี่ยนบลู มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า แมวรัสเซียสีฟ้า  ซึ่งว่ากันว่ามีถิ่นกำเนิดมาจากทางตอนเหนือของประเทศรัสเซีย แต่อย่างไรก็ดีในปัจจุบันก็ยังมีใครทราบต้นกำเนิดของแมวพันธุ์ Russian Blue อย่างแน่ชัดนัก   จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่สองถึงได้มีการปรับปรุงสายพันธุ์ของ Russian Blue ให้ดียิ่งขึ้น

ลักษณะประจำพันธุ์

โดยลักษณะประจำสายพันธุ์ของแมวรัสเซียนบลู คือ  เป็นมีที่มีลักษณะตัวที่ใหญ่  มีดวงตาที่กลมโตเป็นรูปกลม  มีสีเขียวสุกใส   ลักษณะของศีรษะแบนกว้างคล้ายงูและเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมตั้งขึ้น รูปร่างป้อมกลม ล่ำสัน หูได้รูปกับศีรษะ แถมยังมีลำตัวที่ยาวเรียวและมีขนสั้นอ่อนนุ่ม  มีขนสีฟ้า  ซึ่งก็  คือสีเทาอ่อนที่ถือว่าเป็นลักษณะเด่นที่แมวพันธุ์นี้ และในบางตัวอาจมีเพียงสีเดียวก็ได้  นของมันจะเงางามอ่อนนุ่มทั่วตัว ซึ่งปราศจากรอยด่างพร้อย  นอกจากนี้แล้วยังมีขนขึ้นปกคลุมบริเวณคอมีความอ่อนนุ่มลักษณะคล้ายเส้นไหมและลำตัวค่อนข้างยาว

ลักษณะนิสัย 

นิสัยของแมวรัสเซียนบลู  ต้องบอกว่ารัสเซียนบลูเป็นแมวที่น่ารัก  ชอบความสงบ  รักสะอาด  ขี้เล่น   แต่ก็ขี้อายเหมือนกัน  และฉลาดหลักแหลม เช่น สามารถที่จะเปิดประตูบ้านได้ด้วยตนเอง   ถือว่าเป็นแมวที่สามารถเข้ากันได้ดีกับเด็กและสัตว์อื่นๆได้ดีและด้วยด้วยความที่ รัสเซียนบลู เป็นแมวที่มีขนสองชั้น ซึ่งดูจากภายนอกก็จะมีลักษณะคล้ายกับขนของตัวบีเวอร์ จึงส่งผลให้ในระยะแรกจึงเป็นที่รู้จักกันในฐานะแมวทูตหรือ Foreign Blue

แมวทราย (Sand cat)


ต้นกำเนิด

กระจายอยู่ทั่วไปตามทะเลทรายแอฟริกาและเอเชีย โดยพบมากในแถบทะเลทรายซาฮารา  ทะเลทรายอราเบียน  ทะเลทรายแถบอิหร่านและปากีสถาน เป็นแมวที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ  ชื่อเต็มของมันก็คือ Feris magarita เป็นสัตว์ตระกูลแมวชนิดเดียวที่อาศัยอยู่ในทะเลทราย

ลักษณะประจำพันธุ์

แมวทรายเป็นที่มีขนาดเล็กที่สุดชนิดหนึ่งของโลก ตัวผู้ตัวเต็มวัยมีน้ำหนักเพียง 2.1-3.4 กิโลกรัม ส่วนตัวเมียหนัก 1.4-3.1 กิโลกรัม   ลำตัวสีน้ำตาลซีดจนถึงเทาอ่อน ขนแน่น หนานุ่ม บริเวณหลังเข้มขึ้นเล็กน้อย หน้าท้องซีดจาง มีลายริ้วจาง ๆ ตามลำตัวและขา มีเส้นสีน้ำตาลแดงพาดที่แก้มตั้งแต่หางตา ครึ่งล่างของหน้าและหน้าอกสีขาวหรือเหลืองอ่อน ใบหูใหญ่เป็นรูปสามเหลี่ยมปลายเรียว สีน้ำตาลอมแดง ปลายหูสีดำ ใบหูอยู่ห่างกันและค่อนมาทางข้างหัว ปลายหางมีปล้องบาง ๆ หลายปล้อง ปลายหางสีดำ ใบหน้ากว้าง ดวงตาใหญ่ อุ้งตีนมีขนยาวหนาแน่นปกคลุมแมวทรายเป็นแมวที่เกิดมาเพื่ออยู่ในทะเลทรายอย่างแท้จริง ขนที่คลุมอุ้งตีนช่วยป้องกันความร้อนจากพื้นดินและช่วยเก็บเสียงขณะเดินบนพื้นผิวที่หยาบร่วน เมื่อเดินบนทรายจะแทบไม่ปรากฏรอยตีนเลย ประสาทหูไวมาก เหมาะสำหรับการหาเหยื่อในพื้นที่ที่เหยื่อหายาก คาดว่าแมวทรายได้ยินเสียงอัลตราโซนิกจากเหยื่อที่อยู่ใต้ดินได้เช่นเดียวกับ เซอร์วัล

ลักษณะนิสัย 

แมวทรายปีนป่ายและกระโดดไม่เก่ง แต่เป็นยอดนักขุด ทักษะการขุดมีความสำคัญอย่างยิ่งในการดำรงชีพในสถานที่ของแมวชนิดนี้  เพราะต้องใช้ในการขุดโพรงเพื่อพักผ่อนและหาเหยื่อ อุ้งเล็บไม่คมมากนัก ซึ่งอาจเป็นเพราะการอาศัยในทะเลทรายจึงไม่มีโอกาสได้ฝนเล็บบ่อยนัก เวลาเดินบนพื้นที่โล่ง จะเดินย่องต่ำ ๆ หูที่ใหญ่ช่วยในการค้นหาเสียงจากความเคลื่อนไหวอันแผ่วเบาได้เป็นอย่างดี เหยื่อของแมวทรายได้แก่ เจอร์บิล เจอร์บัว โวล กระต่ายป่า นก สัตว์เลื้อยคลาน และแมลง ศัตรูตามธรรมชาติได้แก่งูพิษ หมาจิ้งจอก และนกเค้าแมวขนาดใหญ่
   
     แมวทรายหากินเวลากลางคืน ส่วนเวลากลางวันมักใช้เวลาส่วนใหญ่ในโพรงตื้น ๆ ที่ขุดไว้ตามเนินทราย ในดงไม้แคระ หรืออาจนอนอยู่ไม่ไกลจากปากโพรง โดยนอนหงายหลังซึ่งเป็นท่านอนที่ระบายความร้อนได้ดี แมวทรายแต่ละตัวอาจยืมรังใช้กันได้ เมื่อตกค่ำ แมวทรายจะซุ่มสังเกตการณ์อยู่ปากโพรงประมาณ 15 นาที ก่อนที่จะออกจากโพรงไป แต่ละคืนแมวทรายจะเดินทางเฉลี่ย 5.4 กิโลเมตร เมื่อกลับมาที่รังในตอนรุ่งสางก็จะมาซุ่มสังเกตการณ์ที่ปากโพรงอีกครั้งก่อนจะเข้ารังนอน

ทางชีววิทยา  ในทะเลทรายซาฮารา ลูกแมวทรายมักเกิดในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน ในเติร์กเมนิสถานลูกแมวเกิดในเดือนเมษายน ในปากีสถานมักเกิดในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม ส่วนในแหล่งเพาะเลี้ยงไม่มีฤดูผสมพันธุ์ที่แน่นอน
     
     ตั้งท้องนานประมาณ 60-69 วัน ออกลูกคราวละ 1-8 ตัว ปกติ 2-3 ตัว ออกลูกในโพรงหรือหลืบหิน ลูกแมวแรกเกิดหนัก 50-60 กรัม ลืมตาได้เมื่ออายุได้สองสัปดาห์ ลูกแมวทรายพัฒนาเร็วมาก หลังจากเกิดก็จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นวันละประมาณ 12 กรัม เริ่มออกจากรังได้เมื่ออายุได้ 3-4 สัปดาห์ กินอาหารแข็งได้เมื่ออายุได้ 5 สัปดาห์ เมื่ออายุได้ 3-4 เดือนก็แยกจากแม่ไปหากินเองได้แล้ว และจะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ได้เมื่ออายุได้ 9-14 เดือน ในแหล่งเพาะเลี้ยงมีอายุได้ถึง 13 ปี

สก๊อตติชโฟลด์ (Scottish Fold)


ต้นกำเนิด


แมวพันธุ์ Scottish Fold ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ.1961 ในสก๊อตแลนด์ มันมีชื่อว่า Susie มีลักษณะเป็นแมวสีขาวที่มีหูพับไปมาทั้งด้านหน้าและด้านหลังได้ ใบหน้ามีลักษณะคล้าย นกฮูก หรือหน้าของตัวนาก ผู้ที่สังเกตเห็นคนแรกคือ William Ross มีอาชีพเป็นคนเลี้ยงแกะ William และภรรยาเป็นคนที่รักแมวมาก และทั้งคู่สนใจ Susie มาก เมื่อ Susie ออกลูกเป็นลูกแมวหูพับ 2 ตัว ครอบครัวของเขาจึงขอลูกแมวตัวเมียตัวหนึ่งมาเลี้ยง และได้ตั้งชื่อว่า Snooks ลูกของ Snooks เป็นสายพันธุ์ที่มาจาก British Shorthair และนี่ก็เป็นต้นกำเนิดของสายพันธุ์ Scottish Fold ในเวลานี้ สายพันธุ์นี้ได้รับการจดทะเบียนจาก The Governing Council of the Cat Fancy ของประเทศอังกฤษ

          ทั้งนี้ ในช่วงปี ค.ศ. 1960 Pat Turner นักพันธุศาสตร์ และ cat breeder เป็นผู้หนึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้พัฒนาสายพันธุ์นี้ ในช่วง 3 ปี มีลูกแมวเกิด 76 ตัว 42 ตัวเป็น พวกหูพับ อีก 34 ตัว เป็นพวกหูตั้ง เธอได้ร่วมกับ Peter Dyte นักพันธุศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้ลงความเห็นว่า ลักษณะหูพับกลายเป็นลักษณะเด่น นั่นหมายถึงถ้าลูกแมวได้รับการถ่ายทอดยีนจากพวกที่มีหูตั้ง และพวกที่มีหูพับ ลูกแมวตัวนั้นจะมีลักษณะหูพับ

          สำหรับ Susie ต้นกำเนิดของ แมวพันธุ์ Scottish Fold หูมีลักษณะการพับแบบหลวม ๆ ปลายหูพับลงมาด้านหน้าประมาณครึ่งหนึ่ง รูปแบบนี้ เรียกว่า single fold และในปัจจุบันยังมีหูพับแบบ triple fold ด้วย คนเลี้ยงแมวบางส่วนในประเทศอังกฤษมีความเชื่อว่า แมวพันธุ์ Scottish Fold อาจมีแนวโน้มที่จะติดเชื้อโรคทางหู และ มีโอกาสในการเป็นหูหนวกสูง พวกเขาจึงร่วมมือกันต่อต้านการจดทะเบียนของ Scottish Fold ใน Great Britain และ Europe

          อย่างไรก็ตาม Mrs. Ross ได้นำแมวหูพับบางส่วนของเธอจัดส่งไปให้ ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ Neil Todd นักพันธุศาสตร์ ใน Newtonville คอกแรกที่เกิดในอเมริกา เกิดวันที่ 30 พฤศจิกายน 1971 หลังการค้นคว้าเสร็จสิ้นลง ลูกแมวหูพับบางส่วนได้รับการยอมรับจาก CFA

           โดย แมวพันธุ์ Shorthair Scottish Folds ได้รับการจดทะเบียนจาก ACA ในปี 1973 และ จาก ACFA, CFA ในปี 1974 สถาบัน TICA เป็นที่แรกที่จดบันทึกว่า Longhairs ชนะเลิศการประกวด ในปี 1987-88 และชนะของ CFA ในปี 1993-94

          และแม้ว่าครอบครัว Ross จะล้มเลิกความพยายามในการทำให้ประเทศของเขายอมรับแมวสายพันธุ์นี้ แต่พวกเขาได้รับการยกย่องในประเทศสหรัฐอเมริกา ว่าเป็นผู้ค้นพบ แมวพันธุ์ Scottish Fold

ลักษณะประจำพันธุ์


 แมวพันธุ์ Scottish Fold เป็นแมวขนาดกลาง ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ได้พัฒนาจนมีลักษณะเฉพาะตัวของสายพันธุ์

           ตัวผู้ มีน้ำหนัก ประมาณ 9-13 ปอนด์

           ตัวเมีย มีน้ำหนัก ประมาณ 6-9 ปอนด์

          ทั้งนี้ แมวพันธุ์ Scottish Fold จะมีลักษณะตัวกลม หัวกลม มีช่วงคอสั้น ดวงตากลมใหญ่ มีช่องกว้าง และแสดงออกถึงความสดใส ความหวาน พวก Fold นี้ สามารถมีหูที่มีลักษณะตั้งตรงขนาดกลางได้ไปจนถึง หูพับขนาดเล็ก ที่มีมุมพับกว้าง ปลายหูส่วนใหญ่จะกลม หูของลูกแมวจะเริ่มพับในช่วง2-3 อาทิตย์แรก มีคางที่กลมมน จมูกสั้นโค้ง กว้าง เพื่อรับกับดวงตา บางครั้งปากจะโค้งรับกับคางที่โค้งทำให้ ได้ฉายาว่า smiling cat หรือ แมวยิ้ม ดังที่แสดงในภาพ Scottish Fold จะมีลักษณะกลมทั้งตัว

          แมวพันธุ์ Scottish Fold มี 2 แบบ คือ แบบ Shorthair และ Longhair พวก Longhaired Scottish Fold มีขนยาวขนาดกลาง ในตัวผู้มีขนหางเป็นพวงใหญ่ที่สวยงาม สีของสายพันธุ์นี้ สามารถพบได้หลายสี โดยเฉพาะสีน้ำตาล และสีขาว เป็นสีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด

ลักษณะนิสัย


แมวพันธุ์ Scottish Fold เป็นแมวที่ไม่ค่อยส่งเสียง มักจะชอบที่จะคอยดูแลควบคุมในสิ่งที่เจ้าของกำลังทำอยู่ เป็นแมวที่ชอบทำกิจกรรมในระดับปานกลาง พวกมันชอบที่จะเล่นโดยเฉพาะถ้ามีเจ้าของของมันร่วมเล่นด้วย Folds บางตัวอาจที่จะไม่ชอบนอนบนตัก แต่พวกมันชอบที่จะอยู่ใกล้ ๆ กับเจ้าของ

          นอกจากนี้ แมวพันธุ์ Scottish Fold ยังชอบที่จะนอนแผ่แบนบนหลังของมัน และมักพบมันในท่า sitting up ซึ่งดูเหมือนตัวนาก


สฟิงซ์ (Sphynx)


ต้นกำเนิด

มีคนถกเถียงกันว่าแมวพันธุ์นี้เป็นแมวที่มาจากอียิปต์หรือฮาวายกันแน่   แต่ที่แน่ ๆ เลยก็คือมันถูกนำมาเป็นสัตว์เลี้ยงครั้งแรกในแคนดา

ลักษณะประจำพันธุ์

หัวมีทรงคล้ายลิ่ม หูเป็นรูปสามเหลี่ยมปลายมนกลม ตาสีอำพัน ลำตัวยาว ขายาวปานกลาง ผิวหนัง สีน้ำตาลขาว หรือดำขาว ขนเส้นเล็กสั้น พื้นท้องแถบขาวยาวตั้งแต่ปากตลอดทั้งลำตัว หาง ยาวปลายเรียว เหมือนจะไม่มีขนแต่ที่จริงแล้วมันมีขนปกคลุมบาง ๆ โดยจะเห็นได้ชัดบริเวณปลายลำตัวทั้งสองข้าง ตาสีอำพัน

ลักษณะนิสัย

เป็นแมวที่มีความรักใคร่เป็นมิตรกับเจ้าของมากที่สุดเลยก็ว่าได้  เชื่อฟังเจ้าของ  มีท่าทีที่เป็นมิตรกับคนแปลกหน้าด้วย เรียกว่าเชื่องมาก ๆ แถมยังขี้อ้อน ขี้ประจบเจ้าของอีกต่างหาก  ถ้ามันต้องหารความสนใจมันจะร้องด้วยเสียงเบา ๆ ของมัน แถมเสียงยังขาดหายเป็นจังหวะประมาณว่าเหมือนคนเสียงแหบ

การดูแล

แมวไร้ขนมีข้อดีเป็นอย่างยิ่งต่อการดูแล  แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันไม่ต้องดูแลเลย เพราะด้วยการไม่มีขนของมันผิวหนังมันจึงผลิตน้ำมันมาเคลือบผิวเพ่ือปกป้องผิว  จึงต้องการการอาบน้ำและดูแลอย่างเหมาะสมเพ่ือให้ผิวหนังของมันมีสุขภาพดี  และถ้าคุณพามันไปออกแดดละก็ควรทาครีมกันแดดสำหรับผิวทารกด้วย เพื่อปกป้องผิวหนังของมันจากการโดนทำร้ายจากแสงแดด

เทอร์คิงแองโกร่า (Turkish Angora)


ต้นกำเนิด

เป็นแมวจากประเทศตุรกีมีขนาดตัวปานกลาง เป็นแมวที่มีตัวยาว และขนยาวนุ่ม ดูแวววาวคล้ายเส้นไหมอีกด้วย ขนจะมีสีขาวล้วน ดูสะอาดตา

Turkish Angora เป็นแมวที่ได้รับการรับรองเมื่อไม่นานมานี้เอง เป็นแมวที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศตุรกี จนกระทั่งมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ที่ได้รับชื่อ Angora ต่อท้าย เพราะเนื่องจากเป็นแมวตุรกีขนยาวจากเมืองแองโกรานั่นเอง ในช่วงต้นศตวรรษ แมว Angora ถูกเหมารวมไปกับแมว Persian แต่เมื่อพิสูจน์ได้ว่าเป็นคนละประเภทกัน จึงได้แยกตัวออกมาเป็น Angora

เป็นแมวที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยต้นกำเนิดของแมวพันธุ์นี้อยู่ที่เมืองแองโกลา ประเทศตุรกี โดยมีขนสวยงามเป็นมันเงาเหมือนขนแกะแองโกลา ในปี ค.ศ. 1962 ชายชาวอเมริกันที่ทำงานในสวนสัตว์ Ankara ได้เป็นผู้ค้นพบแมวพันธุ์นี้ จึงได้นำเข้าไปสู่อเมริกา แต่ได้ทำการพัฒนาสายพันธุ์ในอังกฤษ นักผสมพันธุ์ได้ใช้เวลาถึง 45 ปีในการพัฒนาสายพันธุ์ จนกระทั่งได้รับการรับรองจาก CFA ในที่สุด

ลักษณะประจำพันธุ์

เป็นแมวที่มีความพิเศษมาก ลำตัวยาว หางเล็ก คอสั้น หูตั้ง ลูกนัยน์ตากลมรี ขายาว อุ้งเท้าเล็กค่อนข้างกลมมน สะโพกใหญ่ เมื่อเคลื่อนไหวหางจะกระเพื่อม ขนหน้าท้องดก ที่นิ้วเท้าและปลายหูมีขนเป็นกระจุก ขนสีขาว นัยน์ตาสีน้ำเงินหรืออำพัน อุ้งฝ่าเท้า ริมฝีปาก และสันจมูกเป็นสีชม

เป็นแมวสายพันธุ์หนึ่งจากเมืองแองโกลา ประเทศตุรกีปัจจุบันเมื่องนี้ ชื่อ Ankara มีขนคล้ายเส้นไหมหนาเหมือนขนแกะแองโกลา ขนละเอียดเงาเป็นมันวาว ปี 1963 สวนสัตว์เมือง Ankara ได้มอบแมวพันธุ์นี้นำเข้าสู่อเมริกา  1 คู่ อีก3 ปี ต่อมาได้มีการปรับปรุงพันธุ์ขึ้นในอังกฤษ

เป็นแมวตัวยาว ขนสีขาว หางเล็ก คอสั้น หูตั้ง ลูกในตากลมรี ขายาว อุ้งเท้าค่อนข้างเล็กกลมมน สะโพกใหญ่เมื่อเคลื่อนไหวหางจะกระเพื่อมอย่างแรง ขนหน้าท้องดก นิ้วเท้าและปลายหูจะมีขนเป็นจุก นัยน์ตาสีน้ำเงิน สีอำพัน หรืออาจเป็นสีใดสีหนึ่ง หรือตาสองสีในตัวเดียวกัน อุ้งฝ่าเท้า ริมฝีปากและจมูกจะเป็นสีชมพู

ลักษณะนิสัย

เป็นแมวที่ฉลาดมากสายพันธุ์หนึ่ง และรักเจ้าของมาก

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

thonglorpet.com,pantip.com,student.nu.ac.th,มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์,http://www.vetstreet.com,petmd, cattime, bengalcatworld และ bangkokbengals


ความคิดเห็น

  1. ฝาก 15 รับ 100 โปรโมชั่นคืนกำไรให้ลูกค้าทุกท่าน ฝาก15บาทรับเครดิตฟรีไปเลย 100 บาท กับ mega slot เว็บสล็อตออนไลน์น้องใหม่ป้ายแดง มาแซงทุกเว็บรุ่นพี่เลยทีเดียว

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น